( สวทช.)ประกวดการใช้เทคโนโลยีลดการเผาสู่ชุมชน

1940080_748786671798702_1774538790_n

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ภาคเหนือ ( สวทช.) ประกวดการใช้เทคโนโลยีลดการเผาสู่ชุมชน ให้ผู้นำชุมชนมีส่วนร่วม โดยใช้ต้นทุนทางชุมชนเข้มแข็งแต่ได้ผลเกินคาด

จากสถานการณ์การเผาในปัจจุบัน ซึ่งสร้างให้เกิดวิกฤตมลพิษหมอกควัน จัดเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และ ชีวิตประชาชนเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง แพร่ และ น่าน พบมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากหมอกควันจากการเผาป่าและการเผาในพื้นที่ของเกษตรกร จากข้อมูลการติดตามจุดความร้อน (Hotspot) จากดาวเทียม Aqua/Terra จะพบจุดความร้อนกระจายอยู่จำนวนมาก ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน ของทุก ๆ ปี ซึ่งถือเป็นช่วงวิกฤตของปัญหาหมอกควันนี้ และจากข้อมูลสนับสนุนตามสถิติของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปย้อนหลังตั้งแต่ปี 2551-2555 พบว่าในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ มีค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน (PM 10) อยู่ที่ 470.8 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินจากค่ามาตรฐานเฉลี่ยที่ 24 ชั่วโมง ซึ่งกำหนดให้ค่ามาตราฐาน PM10 อยู่ที่ไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และ ในปี 2555 ที่ผ่านมา จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีค่า PM10 สูงถึง 218.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าเป็นค่าที่สูงสุดในรอบ 20 ปี ผลกระทบทั้งหมดล้วนมาจากไปฟ่า และมีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมดังนี้ ปัญหาหมอกควัน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบทางเดินหายใจ ผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม ดิน , น้ำ , ป่าสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในป่า มีจำนวนลดลง เนื่องจากไฟป่าทำลายแหล่งอาหาร แหล่งน้ำและแหล่งที่อยู่อาศัยไม้ การเผาผลาญพืชคลุมดิน โครงสร้างดิน เกิดสภาวะอากาศของโลก นำมาซึ่งภาวะโลกร้อน (Global Warming) วิกฤตภัยแล้งอุทกภัย และวาตภัยมากขึ้น ส่งผลต่อการไหลบ่าของน้ำในช่วงฤดูฝนที่ไม่มีพืชขนาดเล็กกรองหน้าดิน และเม็ดดินขนาดเล็ก ทำให้เกิดการทับถมทำให้แม่น้ำตื้นเขิน กระทบต่อระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยว การลงทุนตลอดจนการขึ้นลงของสายการบินต่าง ๆ ทำให้ทัศน์วิสัยในการมองเห็นต่ำ กว่าปกติ ปัญหาดังกล่าวมานี้ มีสาเหตุสำคัญมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น เนื่องมาจากกิจกรรมเผาในพื้นที่ทำการเกษตร วัชพืช และ เศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกทั้งนอกและในพื้นที่ป่า ตลอดจน จากการเผาในที่โล่ง จากข้อมูลดังกล่าว สวทช. ภาคเหนือ จึงได้หาแนวทางเพื่อป้องกันและแก้ไขการเกิดปัญหาหมอกควัน โดยการสนับสนุนให้เกิดการดำเนินงาน ที่จะส่งเสริมให้เกิดการนำวัสดุทางการเกษตรกลับมาใช้ประโยชน์และส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง กับการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว อันได้แก่ การผลิตปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกลับกอง, การสร้างเตาเผาซังข้าวโพดเพื่อใช้ในครัวเรือน, การสร้างเครื่องตรวจวัดและดักฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และ PM 10, การผลิตปุ๋ยหมักและทำเตาแก๊สครัวเรือนจากขยะ, การพัฒนารถอัดก้อนฟางเพื่อใช้ประโยชน์, และ อีกหลายโครงการ ฯ เพื่อหาทางรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง สร้างความร่วมมือกับภาคประชาชน ยกตัวอย่าง เช่น หน่วยงาน อปท. ในพื้นที่ เพื่อสอนการทำปุ๋ยจากเศษฟางข้าวเพื่อลดการเผา, การสร้างระบบป้องกันการทำลายชั้นดินจากการปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูงร่วมกับมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย เชียงใหม่ ( มจร. วัดสวนดอก ) และสำนักทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, ระบบเครื่องเตือนภัยและเครื่องวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก, เตาเผาในครัวเรือนจากซังข้าวโพด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในจังหวัด เชียงใหม่, เชียงราย, ลำปาง, แพร่ และ น่าน สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้จัดทำโครงการ “ประกวดการใช้เทคโนโลยีการลดการเผาระดับชุมชน” เพื่อสนับสนุนให้เกิดการรวมกลุ่มชุมชนในการดำเนินการพัฒนาและต่อยอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีลดการเผาอย่างเป็นระบบ รวมถึงการน้อมนำพระราชดำริ ต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ เพื่อ ลดปัญหาวิกฤติสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการประกวด คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่ทดสอบแล้วในภาคสนามมาสังเคราะห์และขยายผล ให้เป็นแนวปฏิบัติที่ดีสู่การประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมการทำงานระดับชุมชน รวมทั้งส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชนและสถาบันการศึกษา วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและท้องถิ่นประยุกต์ใช้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม กับพื้นที่ในการแก้ไขปัญหาหมอกควัน และการยกระดับแนวปฏิบัติที่ดี และเผยแพร่ออกไปในวงกว้าง เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ ชุมชน หน่วยงานในท้องถิ่น ทราบถึงชุดเทคโนโลยีลดการเผาพร้อมใช้ที่มาจากงานวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาท้องถิ่น ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมการคิดแบบวิทยาศาสตร์ (ตั้งสมมุติฐาน สังเกต/บันทึก วิเคราะห์) การเป็นชุมชนระดับหมู่บ้าน และมี คณะผู้ร่วมรับผิดชอบโครงการอย่างน้อย 4 คน ประกอบด้วย – ผู้ใหญ่บ้าน- สมาชิก อบต. สมาชิกเทศบาลฯ ในหมู่บ้านที่เสนอโครงการ – ครูประจำโรงเรียนในพื้นที่ นั้นๆ หรือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตำบล- เจ้าหน้าที่ ประจำ อบต. , เทศบาลฯ ,หรือ หน่วยงานภาครัฐอื่นๆ – ตัวแทนจากกลุ่มต่าง ๆ ในหมู่บ้านที่มีอยู่แล้ว เช่นกลุ่มออมทรัพย์ ชมรมผู้สูงอายุ หรืออื่นๆ เป็นชุมชนที่มีการประชุมหมู่บ้านอย่างสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นทุนเดิมด้านความเข็มแข็ง ของชุมชน เช่น การรวมกลุ่มในชุมชน กองทุนหมู่บ้าน สวัสดิการชุมชน เป็นต้น

 

 

 

 

sunwin | sunwin | sunwin | sunwin | sunwin